วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

แมนฯยูไนเต็ด VS ลิเวอร์พูล "แดงเดือด เอฟเอ คัพ"


           วันที่ 9 ม.ค.เวลา 20.30 น. ช่อง 7 สีถ่ายทอดสด
สนาม ; โอลด์ แทรฟฟอร์ด
          
           ปีนี้มีจำนวนทีมทั้งอาชีพสี่ดิวิชั่นและสมัครเล่นทั้งสิ้น 759 ทีมด้วยกัน เริ่มต้นกันที่รอบสามหลังจากผ่านคัดเลือกตั้งแต่ช่วงส.ค.จากทีมสมัครเล่นทั่วประเทศที่ผ่านการเป็นแชมป์ลีกสมัครเล่นทั้ง 10 ระดับของอังกฤษ มาถึงลีก วัน, ลีก ทู ในรอบแรกและรอบสองอย่างเป็นทางการ จนได้ทีมหลุดเข้ามาทั้งสิ้น 20 ทีม

           รอบสามนั้นทีมจากเดอะ แชมเปี้ยนชิพ 24 ทีมบวกกับพรีเมียร์ลีก 20 ทีม จับสลากประกบคู่กับผู้กล้าที่ฝ่าด่านอรหันต์เข้ามาเป็นทั้งสิ้น 64 ทีมในรอบนี้ ซึ่งรายการเอฟเอ คัพ ไม่มีทีมวางใดๆ ทั้งสิ้น นั่นจึงทำให้ทีมใหญ่หลายทีมของพรีเมียร์ลีกจับมาพบกันเพื่อพิสูจน์ว่าใครจะร่วงใครจะอยู่รอดจากการเตะนอคเอาต์

           โปรแกรมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับลิเวอร์พูลจึงเป็นโปรแกรมที่สร้างความฮือฮาให้กับแฟนบอลทั่วโลก แม้ว่าชั่วโมงนี้สถานะภาพและฟอร์มของทั้งสองทีมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ฟุตบอลถ้วยนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้หากพลาดท่าขึ้นมา ตกรอบทันที

           เหมือนแมนฯยูฯ ปีที่แล้วตกรอบสามเพราะแพ้ลีดส์ ยูไนเต็ด ดังนั้นเชื่อว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะต้องเน้นมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะเมื่อต้องเตะกับลิเวอร์พูล ส่วนหงส์แดงนั้นคงต้องสร้างความมั่นใจในทีมให้มากขึ้นโดยการล้ม “ปีศาจแดง” ย่อมเป็นอะไรที่เพิ่มแรงกระตุ้นในการต่อสู้ในซีซั่นนี้ได้เป็นอย่างดีและมันยังเป็นความหวังในการล่าแชมป์แบบเป็นรูปธรรมมากกว่าอันดับในลีก

           นั่นย่อมรวมทั้งเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมา...และไม่แน่ว่านัดนี้ผจก.จะยังเป็น รอย ฮอดจ์สัน หรือไม่ ด้วยฟอร์มอันเหลวแหลกในพรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูลชุด ฮอดจ์สัน

สถิติ  แมนฯยูฯ-ลิเวอร์พูล

           สถิติโดยภาพรวมทุกรายการนั้นแมนฯยูไนเต็ดยังเหนือกว่าลิเวอร์พูล ตามตัวเลขที่ปรากฏออกมา เมื่อแยกออกมาเฉพาะเอฟเอ คัพ เจอกันทั้งหมด 15 ครั้งแมนฯยูไนเต็ด ชนะถึง 8 เสมอ 4 แพ้แค่ 3 โดยชัยชนะนัดสำคัญคือการคว้าแชมป์ปี 1996 ซึ่งเอริค คันโตนา สอยประตูชัยในช่วงท้ายเกมให้ผีแดงครองดับเบิ้ลแชมป์ในปีนั้น



แมนฯยูฯ ชนะ
เสมอ

ลิเวอร์พูล ชนะ
ลีกสูงสุด
60
43
52
เอฟเอ คัพ
8
4
3
ลีก คัพ
1
0
3
ลีก คัพ
1
3
2
Total
70
50
60



           สำหรับการพบกันครั้งล่าสุดที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีก่อน เกมนั้นแมนฯยูฯ ชนะ 2-1 และกลายเป็นแชมป์อย่างยิ่งใหญ่เพราะปีนั้นพวกเขาครอง “ทริปเปิ้ลแชมป์” ซะด้วย

           ส่วนครั้งล่าสุดที่พบกันคือฤดูกาล 2005-06 เป็นรอบสี่เล่นที่แอนฟิลด์ ผลปรากฏว่า ปีเตอร์ เคราช์ โหม่งประตูชัยให้หงส์แดงเขี่ยแมนฯยูไนเต็ดตกรอบ และปีนั้นลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์มาครองได้ด้วยการชนะจุดโทษเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ

สภาพทีม

           แมนฯยูฯ...ค่อนข้างพร้อมนับจากเซอร์ อเล็กซ์  เฟอร์กูสัน สั่งพัก เอดวิน ฟาน เดอ ซาร์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เวย์น รูนีย์ เพื่อรับมือลิเวอร์พูลโดยเฉพาะ ปีที่แล้วท่านเซอร์บอกเจ็บปวดมากที่ตกรอบสามเพราะแพ้ลีดส์ ยูไนเต็ด ในแง่ของความเป็นปฏิปักษ์แล้วแฟนบอลรู้สึกเสียหน้า ปีนี้ได้โอกาสเจอลิเวอร์พูลเป็นคู่แข่งขันอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างจากลีดส์ แต่ท่านเซอร์ นอกจากไม่ต้องการแพ้แล้วยังตั้งเป้าที่แชมป์ ดังนั้นสภาพทีมก่อนพบกับลิเวอร์พูลต้องยอมรับว่าสดมากๆเลยทีเดียว
 ลิเวอร์พูล...ผ่านเกมกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ด้วยสภาพทีมที่ต้องยอมรับว่าเวลานี้มีปัญหาในแนวรับ นับจากเจมี คาร์ราเกอร์ พักยาว กองหลังที่เหลือมีให้เลือกใช้งานเต็มที่แค่สองคนสำหรับคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ

กลยุทธ์และผลที่คาด

           เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน น่าจะจัดทีมในระบบ 4-4-2  ฟาน เดอ ซาร์ กลับมาเฝ้าเสา กองหลัง ริโอ, วีดิช แบกสองข้างเป็น ราฟาเอล กับเอวรา ส่วนแดนกลางนั้นมี เฟลทเชอร์ กับ คาร์ริค คุมเกมตรงกลาง พร้อมประสานงานกับ อันแดร์สัน โดยเลือก นานี เป็นตัวฟรีเชื่อมเกมรุกกับ เบอร์บาตอฟ และ รูนีย์

           ส่วนหงส์แดงนั้น ไม่มีทางเลือกมากนอกจากเล่นแบบ 4-5-1  นอกจาก เรน่า แล้วกองหลัง 4 คน จอห์นสัน, สเคอเทิลน่าจะเล่นกับ แอกเกอร์ โดยแบกซ้ายอาจสลับเป็น ออเรลิโอ หลังจาก คอนเชสกี้ เล่นกลางสัปดาห์ กลับมา

           แดนกลางนั้น ลูคัส คู่กับ ราอูล โดย เจอร์ราร์ด เป็นตัวฟรี ให้ โรดริเกซ กับ เคาต์ เล่นริมเส้น ส่วน ตอร์เรส คนเดียว ขณะที่ เอ็นก๊อก เป็นตัวสำรองในแผนนี้อีกครั้ง

          รูปเกมที่คาดนั้น...เจ้าถิ่นจะเดินหน้าโจมตีเกมรับลิเวอร์พูลอย่างต่อเนื่อง ชั่วโมงนี้ แมนฯยูฯ เล่นด้วยความมั่นใจประกอบกับเกมในพรีเมียร์ลีกพวกเขา จัดการหงส์แดงได้เกินหนึ่งชั่วโมงนำด้วยสกอร์ 2-0 ก่อนผิดพลาดโดนตีเสมอ แต่ยังเอาตัวรอดได้ชนะในท้ายที่สุด เกมวันนั้นผีแดงเหนือกว่าเยอะ

          ขณะที่ รอย ฮอดจ์สัน น่าจะเน้นความรัดกุมและแน่นอน ลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุดในเกมนี้ ไม่พยายามปล่อยให้แมนฯยูฯ มีโอกาสครองบอลอย่างง่าย แต่เชื่อว่ารูปเกมเป็นรองแมนฯยูฯ ที่เหลือคือเกมรับจะป้องกันได้ดีขนาดไหน ซึ่งจุดนี้คือจุดบอดของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริงดูแล้วหากโดนผีแดงกดดันอย่างต่อเนื่องสัก 5-10 นาทีมีโอกาสเสียประตู

          ผลที่คาด แมนฯยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 2-0 ผ่านเข้ารอบ 4

          (แต่ถึงจะยังไง ผมก็ขอเอาใจช่วยให้ลิเวอร์พูลผ่านด่านนี้ไปได้ละกัน)

                                                                                                                                   By : Pasid Lek-Uthai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น